
ทำความรู้จัก CBAM คือมาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน
ในยุคที่โลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ สหภาพยุโรป (EU) ได้ออกมาตรการสำคัญเพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หนึ่งในนั้นคือมาตรการ CBAM ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าจากประเทศไทยไปยังสหภาพยุโรปอย่างมีนัยสำคัญ บทความนี้จะชวนทุกคนไปทำความรู้จักกับ CBAM คืออะไร ส่งผลต่ออุตสาหกรรมใดในประเทศไทยบ้าง
CBAM คืออะไร
CBAM คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism) เป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญภายใต้ European Green Deal ของสหภาพยุโรป โดย CBAM คือ กลไกที่จะช่วยป้องกันการรั่วไหลของคาร์บอนและรักษาความสามารถในการแข่งขันของผู้ผลิตในสหภาพยุโรป
ซึ่ง CBAM เป็นมาตรการที่เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2566 โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Period) ระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2566 – 31 ธันวาคม 2568 ซึ่งผู้นำเข้าจะต้องรายงานข้อมูลการปล่อยคาร์บอนในกระบวนการผลิต และระยะบังคับใช้จริงตั้งแต่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป
CBAM ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมใดบ้าง
มาตรการ CBAM ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าไปยังสหภาพยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งจะต้องมีการปรับตัวและพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
1. ผลกระทบด้านไฟฟ้า (Electricity)
ภาคการผลิตไฟฟ้าของไทยยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นหลัก โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ส่งผลให้มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูง ภายใต้มาตรการ CBAM ผู้ส่งออกสินค้าที่ใช้ไฟฟ้าเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญจะได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น จำเป็นต้องพิจารณาปรับเปลี่ยนมาใช้พลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต
2. ผลกระทบด้านอะลูมิเนียม (Aluminium)
อุตสาหกรรมอะลูมิเนียมของไทยจะได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากกระบวนการผลิตต้องใช้พลังงานไฟฟ้าสูงและปล่อยก๊าซเรือนกระจกในปริมาณมาก ผู้ประกอบการจำเป็นต้องลงทุนปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตและหันมาใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เพื่อลดต้นทุนที่จะเกิดจากมาตรการ CBAM
3. ผลกระทบด้านเหล็กกล้า (Iron & Steel)
อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด การบังคับใช้มาตรการ CBAM จะส่งผลให้ต้นทุนการส่งออกสูงขึ้นอย่างมาก ผู้ผลิตจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีสะอาด เช่น การใช้เตาหลอมไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูง หรือการนำเศษเหล็กมารีไซเคิล
4. ผลกระทบด้านปูนซีเมนต์ (Cement)
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ต้องเผชิญความท้าทายในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากกระบวนการผลิตต้องใช้พลังงานความร้อนสูง ผู้ผลิตจำเป็นต้องพัฒนาสูตรการผลิตใหม่ที่ใช้วัตถุดิบทางเลือก และปรับปรุงเทคโนโลยีการผลิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ผลกระทบด้านปุ๋ย (Fertilizer)
อุตสาหกรรมปุ๋ยจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM เนื่องจากกระบวนการผลิตมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยเฉพาะในขั้นตอนการสังเคราะห์แอมโมเนีย ผู้ผลิตต้องลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและพัฒนากระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
6. ผลกระทบด้านไฮโดรเจน (Hydrogen)
อุตสาหกรรมไฮโดรเจนจะได้รับผลกระทบจากมาตรการ CBAM โดยเฉพาะการผลิตไฮโดรเจนสีเทาที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบ ผู้ผลิตจำเป็นต้องพัฒนาไปสู่การผลิตไฮโดรเจนสีเขียวที่ใช้พลังงานหมุนเวียน เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
7. ผลกระทบด้านผลิตภัณฑ์ปลายน้ำอื่น ๆ
ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำที่ใช้วัตถุดิบจากอุตสาหกรรมที่ถูกควบคุมโดย CBAM จะได้รับผลกระทบทางอ้อม เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และบรรจุภัณฑ์ ผู้ผลิตต้องปรับตัวโดยการเลือกใช้วัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและพัฒนากระบวนการผลิตให้ปล่อยคาร์บอนต่ำ
แนวทางการรับกับมือมาตรการ CBAM
ในการรับมือกับมาตรการ CBAM ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องปรับตัวและพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งการติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะระบบโซลาร์เซลล์สามารถช่วยลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเลือกรูปแบบการติดตั้งที่เหมาะสมกับภาคอุตสาหกรรม
การติดตั้งระบบโซลาร์เซลล์นอกจากจะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานในระยะยาว ลดการพึ่งพาพลังงานจากภายนอก และสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับโรงงาน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น
สรุป
CBAM คือ มาตรการปรับคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยในหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกลุ่มที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง เช่น อะลูมิเนียม เหล็กกล้า ปูนซีเมนต์ และปุ๋ย ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและพัฒนากระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยเฉพาะการหันมาใช้พลังงานสะอาดอย่างโซลาร์เซลล์ เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันในตลาดสหภาพยุโรป
หากโรงงานใดที่กำลังมองหาบริษัทติดตั้งโซลาร์เซลล์สำหรับโรงงานที่มีความเชี่ยวชาญ KG Solar พร้อมให้คำปรึกษาและออกแบบระบบที่เหมาะสมกับอุตสาหกรรมของคุณ ด้วยทีมงานมืออาชีพและประสบการณ์การติดตั้งมายาวนาน พร้อมดูแลตั้งแต่การสำรวจพื้นที่ ออกแบบระบบ ไปจนถึงการบริการหลังการขายอย่างมืออาชีพ